เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ สัจธรรมๆ ที่แสวงหา คำว่า “แสวงหา” เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นไง เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ นิพพานหยิบไปคว้าเอาเลย ท่านบอกเหมือนอยู่กลางอากาศ เหมือนเดือนเหมือนดาวที่หยิบจับเอาได้เลย หยิบจับเอาได้เลยเพราะอะไร เพราะหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการเป็นสัจจะเป็นความจริง พอเวลาเป็นสัจจะเป็นความจริง เราเทียบเคียงได้แล้วเหมือนเราหยิบจับได้เลย ถ้าหยิบจับได้ พอหลวงปู่มั่นท่านเทศน์จบ ปิดหมด ฟ้าปิด ก็เรานึกไม่ได้ เราคาดการณ์ไม่ได้ เราจินตนาการไม่ได้
แต่เวลาภูตผีปีศาจเราจินตนาการได้ เพราะอะไร เพราะเราเคยเป็น เราเคยเป็น เราเคยเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง เราพูดถึงผีๆ จินตนาการได้เลยว่ารูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร
แต่เวลาพูดถึงธรรมะๆ ธรรมะที่เป็นสัจธรรมนะ เป็นสัจธรรมเป็นธรรมะที่เป็นความจริงนะ แต่ถ้าเป็นธรรม เป็นศีล สมาธิ ปัญญา เป็นธรรมที่เป็นกิริยาที่เราพยายามจะก้าวเดิน เป็นสมมุติบัญญัติ เราจินตนาการได้ เราจินตนาการได้เพราะอะไร จินตนาการได้เพราะเราศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ไง เราศึกษาพระพุทธศาสนาไง ทฤษฎี ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหนทางให้เราก้าวเดินไง เราศึกษาสิ่งนั้นมาเราก็จินตนาการได้ไง แต่มรรคผลเราจินตนาการไม่ได้ จินตนาการไม่ได้ ฉะนั้น เราจินตนาการไม่ได้ เห็นไหม เวลาเรามีเป้าหมายอย่างนั้น ถ้ามีเป้าหมายอย่างนั้น
เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ เรานี่เป็นโมฆบุรุษ โมฆะคือบุรุษที่ว่างเปล่า บุรุษที่ไม่มีสิ่งใดในหัวใจเลย มันก็แสวงหาลาภสักการะไง พอแสวงหาลาภสักการะมันก็ลืมตัวมันเอง มันก็เหยียบย่ำธรรมวินัยไปไง เห็นไหม โมฆบุรุษตายเพราะลาภ แสวงหาลาภ แสวงหาชื่อเสียง แสวงหาตายเพราะลาภๆ โมฆบุรุษไง
แต่ถ้าครูบาอาจารย์ถ้าเป็นความจริงๆ ท่านจะเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่โมฆบุรุษ เป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนที่ซื่อสัตย์ เป็นคนที่ลงธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงได้มาบวชเป็นพระ เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วเราจะแสวงหาศีล
ศีลคือความปกติของใจ เราจะไม่ก้าวล่วงศีล สิ่งใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูด ท่านพยายามจะรักษาๆ เราจะพยายามให้มันผิดพลาดน้อยที่สุด พยายามจะให้มันผิดพลาดน้อยที่สุด
เวลามันผิดพลาด ความผิดพลาดคือความเผอเรอ คือความพลั้งเผลอ คือความไม่เข้าใจ คือความไม่รู้ มันผิดพลาดได้ แต่ความผิดพลาดแล้วมันไม่ได้ผิดพลาดเพราะเจตนา มันไม่ได้ผิดพลาดเพราะเราตั้งใจจะกระทำ มันผิดพลาดเพราะความไม่รู้ แต่ถ้ารู้เมื่อไหร่ รู้เมื่อไหร่แล้วจะไม่ทำๆ เห็นไหม นี่ลงธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์กับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฉะนั้น วันนี้เป็นวันพระๆ วันพระเรามาทำบุญกุศลของเรา เราทำบุญกุศล เราก็ต้องการปรารถนาความสำเร็จในชีวิต เราต้องการปรารถนาบุญ บุญคือความสุขความสงบในใจ ถ้าบุญนะ ลาภสิ่งที่มันเป็นไปได้ สิ่งที่เป็นไปได้ สิ่งที่เราทำได้ เราก็อยากได้สิ่งที่ของเรา
ถ้าเป็นคนที่เขามีสติมีปัญญาขึ้นมา สิ่งที่ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เรามีอาการ ๓๒ เรามีสติปัญญา เรามีการแสวงหาของเรา เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เราทำของเราได้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาให้คนมาคอยดูแลเรา นั่นมันเป็นความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐๆ
เวลาลาภของทางโลกเขาตั้งแต่แก้วแหวนเงินทองขึ้นมา จนถึงว่าสิ่งที่สุขภาพที่สมบูรณ์ สุขภาพที่แข็งแรง แล้วถ้าสุขภาพจิตที่แข็งแรง ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐๆ แต่เราก็ต้องการลาภสักการะที่เป็นแก้วแหวนเงินทอง เราก็ต้องการลาภสักการะที่เป็นยศถาบรรดาศักดิ์ สิ่งนั้นถ้ามันได้มาด้วยความสุจริต
ความสุจริตเพราะอะไร ความสุจริตเพราะว่าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้มันได้สร้างสมของมันมา อำนาจวาสนาของคนมันได้สร้างสมมาตั้งแต่อดีตชาติ ตั้งแต่ภพชาติต่างๆ ที่เราได้สร้างสมมา แล้วบอก “มันมีที่ไหนนรกสวรรค์ อย่ามาเขียนเสือให้วัวกลัว พระอย่าเอานรกสวรรค์มาขาย”
เวลาพระที่เอานรกสวรรค์มาขาย นี่โมฆบุรุษตายเพราะลาภไง ก็มันขายสวรรค์ขายนรกไง มันจะเอาลาภไง นี่โมฆบุรุษไง แต่สิ่งที่ลาภของเขา อำนาจวาสนาของเขา ถ้าอำนาจวาสนาของเขา จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พอจิตนี้เวียนว่ายตายเกิด เขาทำของเขามา ทำของเขามา เขาจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไร เขาจะตกต่ำอย่างใด แต่ถึงเวลาแล้วเขาก็พัฒนาของเขาได้ เวลาพัฒนาของเขาได้ จังหวะและโอกาสของเขามันสมดุลของเขา ถ้าสมดุลของเขา นี่ไง อำนาจวาสนาของเขาไง ถ้าอำนาจวาสนาของเขา
ที่เราทำบุญกุศล เราทำของเรา ทำทิ้งเหวๆ ทำแล้วไม่หวังผลใดๆ ทั้งสิ้น คำว่า “ไม่หวังผล” เวลาทำบุญกุศล เราต้องตั้งสัจจะอธิษฐานใช่ไหม คำว่า “อธิษฐาน” อธิษฐานคือเป้าหมายของเราไง แล้วเราก็ทำของเราไปไง แต่เวลาตั้งเป้าหมายแล้วเราก็คิดเป้าหมายให้สำเร็จในปัจจุบันนี้ เป้าหมายต้องสำเร็จในปัจจุบันนี้ แล้วพอมันไม่สำเร็จในปัจจุบันนี้ เราก็เสียใจ เราก็ทุกข์ใจ เราก็คลางแคลงใจ คลางแคลงใจนะ ทำบุญไม่ได้บุญๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศสัจธรรมนะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ทำชั่วต้องได้ชั่วแน่นอน มันทำแล้วต้องชั่วเด็ดขาด แต่มันสร้างสมมา สร้างสมด้วยอำนาจวาสนามา พอมีอำนาจวาสนามา เขาสร้างสิ่งใดมา คนเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองมา เขาก็มีอำนาจวาสนาของเขา มีคนดูแลเขา เวลาเขาทำหน้าที่การงานของเขา เขาประสบความสำเร็จของเขา เขามีอำนาวาสนา เขาทำชั่วไง ทำชั่วขึ้นมาเพราะอะไร เพราะเขาเกิดมาสว่างไปมืดไง เกิดมามืดไปสว่างไง เกิดมาสว่างคือทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ไปหมดเลย แต่ถ้าเขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาสร้างคุณงามความดีของเขา เขาก็ไปสว่างต่อ นี่เวลาเขาไปสว่างต่อ สว่างต่อคือเจริญเติบโตไปข้างหน้าไง
แต่ถ้ามันสว่างมา เรามีสติมีปัญญา มีอำนาจวาสนา ทำสิ่งใดแล้วประสบความสำเร็จ แล้วเรามาทำชั่วๆ ทำชั่วมันจะไปมืดไง พอไปมืด กรรมเก่า กรรมใหม่ เวลากรรม กรรมมันซับซ้อนกัน กรรมซับซ้อนกันไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกรรมๆ เชื่อการกระทำไง แต่การกระทำแบบนี้เราทำมาเมื่อไหร่ เราทำมาตอนไหน ทำไมต้องมาตกเฉพาะเรา ทำไมมันต้องตกเฉพาะเราล่ะ
คำว่า “ตกเฉพาะเรา” นี่ไง เวรกรรมๆ ที่เราทำกันอยู่นี่ สว่างมาแล้วมืดไป เวลาสว่างมาแล้วมันทำสิ่งใด มันทำชั่ว มันเหยียบย่ำทำลายเขาทั้งนั้นน่ะ แล้วมันตายไป นี่เวลาเราเห็นไง “ทำชั่วไม่เห็นได้ชั่วเลย ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”
กรรมดี กรรมชั่ว มันซับซ้อนไง มันซับซ้อน กรรมถึงเป็นอจินไตยไง อจินไตย ๔ นะ เรื่องกรรมนี่เรื่องหนึ่ง เรื่องกรรมที่ซับซ้อน เราจะอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ให้ชัดเจน มันชัดเจน มันซับซ้อน อดีตชาติ คำว่า “อดีตชาติๆ” พระที่โมฆบุรุษเอาเรื่องนี้มาขายกิน เอาเรื่องนี้มาหลอกลวง เอาเรื่องนี้มาเรียกผลประโยชน์ “แหม! คนคนนี้มีกรรม ต้องแก้กรรม”...เป็นเหยื่อ
เรามีกรรมๆ ของเราแล้ว เราจะแก้กรรมๆ ของเรา แก้กรรมด้วยสติด้วยปัญญา พระพุทธศาสนาเวลาแก้กรรม เรามีสติปัญญา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนี่แหละ ถ้ามันแก้กรรมได้ แก้กรรมได้เพราะมันเป็นอริยบุคคลได้ไง
ถ้ามันแก้กรรมไม่ได้ พระอริยบุคคลเกิดไม่ได้ไง เพราะเราได้สร้างเวรสร้างกรรมมา ถ้าเราสร้างเวรสร้างกรรมมันเป็นอัตตา มันตายตัว เราจะพัฒนาอย่างไร เราจะเปลี่ยนแปลงจิตของเราให้เป็นอริยบุคคลอย่างไร
เวลาจิตมันเปลี่ยนแปลงเป็นอริยบุคคลแล้วมันตามกันไม่ทันนะ ดูสิ ถ้ามันตามกันไม่ทัน พระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เหาะเหินเดินฟ้าได้ทั้งนั้น แต่เพราะอะไร เพราะมันเวรกรรม คำว่า “เวรกรรม” มันจังหวะและโอกาสมันสมดุลกันพอดี ในอดีตชาติที่นานไกลมาแล้ว แม่ของตนแสวงหาลูกสะใภ้มาให้ แล้วลูกสะใภ้ได้มาแล้วท่านไม่อยากได้ แต่ด้วยแม่ไง แม่ตาบอดก็พยายามแสวงหาลูกสะใภ้มาให้ พอลูกสะใภ้มา ต่อหน้าก็ทำดี ลับหลังก็ใส่ความๆ จนสุดท้ายแล้วพระโมคคัลลานะเชื่อเขา เชื่อเขาก็จะเอาแม่ไปฆ่า เสร็จแล้วพอเอาแม่ไปฆ่า
พอเอาไปฆ่า เพราะเขาตาบอด บอกว่าจะไปเยี่ยมญาติ ไปโดยทางเกวียน ไปถึงก็เสียงเอะอะมะเทิ่งว่าโจรมันปล้นๆ ตัวเองก็โดดลงไป แล้วก็ปลอมเป็นโจรขึ้นมาทุบแม่ เพราะว่าไปขัดขวางความสุขในครอบครัว
ทีนี้พอแม่โดนตีนะ เพราะโจรจะมาฆ่าใช่ไหม ก็กลับเป็นห่วงลูก “ลูกหนีไปนะ ลูกหนีไปนะ” ให้แม่รับผิดชอบเอง ลูกหนีไป ไอ้ลูกได้ยินมันสะอึกเลยนะ “เฮ้ย! โจรถอย โจรถอย” รีบโจรถอยกลับไปเลยนะ แล้ววิ่งกลับมา “แม่เป็นอย่างไร แม่เป็นอย่างไร” เพราะแม่ตาบอด แม่ไม่เห็น สุดท้ายแล้วแม่ก็ตาย พอแม่ตาย ตกนรกอเวจีไปจนเต็มที่แล้ว สุดท้ายแล้วได้มาสร้างบุญกุศล สร้างบุญกุศลนะ ด้วยบุญกุศลปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย พอปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย สิ่งที่สร้างบุญกุศลมามหาศาลนั้นน่ะ แล้วเวลาสมความปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์
พอมีฤทธิ์ขึ้นมา พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เผยแผ่ศาสนา พอเผยแผ่ศาสนา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นกำลังสำคัญ นี่มันจะเข้ากับเวรกรรมแล้ว มันเป็นกำลังสำคัญใช่ไหม ทีนี้พอเป็นกำลังสำคัญ ศาสนาอื่นที่เขารุ่งเรืองอยู่ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ผู้ที่มีสติปัญญาศึกษาค้นคว้าแล้วเชื่อฟัง กษัตริย์กุฎุมพีเป็นลูกศิษย์มหาศาล ลาภสักการะเขาเสื่อมลง เขาประชุมกัน จะทำลายพระพุทธศาสนาจะทำอย่างไร จะทำอย่างไร เขาหาหนทางไง
จะทำลายพระพุทธศาสนาต้องเด็ดกิ่งเด็ดก้านของพระพุทธศาสนาก่อน ผู้ที่เป็นมือเป็นเท้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เผยแผ่ศาสนา ต้องหักตรงนั้นก่อน ก็เลยลงมติกันว่าจ้างโจร จ้างพวกมหาโจรมาฆ่าพระโมคคัลลานะ
เวลาเขาจะมาฆ่านะ รู้ เพราะมีฤทธิ์ เหาะหนี เหาะไป เพราะอะไร เพราะไม่ทำร้ายเขา เขาจะเจตนามาทำร้ายเรานะ แต่ไม่ทำร้ายเขา รักษาตัวรอด เหาะหนีครั้งที่หนึ่ง เหาะหนีครั้งที่สอง แล้วมาพิจารณาของตนดู อ๋อ! มันเป็นกรรมเก่า เห็นไหม มันเป็นกรรมตั้งแต่อดีตชาติ เศษกรรม เศษที่เหลืออยู่เล็กน้อย แต่มันก็มาเข้ากับปัจจุบัน ปัจจุบันคือว่าในเมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก พอเจริญรุ่งเรืองมาก พวกที่อิจฉาตาร้อนมันมาก แล้วพวกที่อิจฉาตาร้อน เจ้าลัทธิต่างๆ ที่เขามีกำลังของเขา เขามีลูกศิษย์ลูกหาของเขา เขาวางแผนได้ เขาทำลายได้ไง เขามีอิทธิพล เขามีกำลังที่จะทำได้ มันก็มาเข้ากับเจตนาของเขา นี่กรรมเก่า กรรมใหม่
กรรมเก่า กรรมใหม่ เรื่องกรรมๆ มันซับซ้อนๆ แล้วมันซับซ้อน ซับซ้อนมาขนาดไหน ถ้าซับซ้อนขนาดไหน เรากระทำๆ กระทำเพื่อความดีไง ถ้าเราทำดีเพื่อความดี ทำดีเพื่อความดี ถ้าความดี ความดีของเรา แต่ความดีมันยังไม่ประสบกับเรา เราก็ไม่ทำชั่วแน่นอน เราก็ไม่ทำ ต่ำทรามไป แล้วเรารักษาของเรา
แล้วก็บอกว่า “ทำดีต้องได้ดีๆ”...เราเอาวิทยาศาสตร์ เอาแค่นี้ไง เราไม่เอาที่มาไง ถ้าเอาที่มา เวลามาภาวนานะ ใครมาวัดมาวามันจะมาประพฤติปฏิบัติ เราจะเน้นย้ำเลย จริตนิสัยๆ พันธุกรรมของจิต จิตที่ได้ตัดแต่งมา ตัดแต่งมาโดยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การเวียนว่ายตายเกิดเป็นอสงไขย อสงไขยคือนับไม่ได้ ไม่มีต้นไม่มีปลาย มันตัดแต่ง ตัดแต่งคืออะไร ตัดแต่งคือสร้างสมแต่คุณงามความดี
พระโพธิสัตว์ เห็นไหม เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นจักรพรรดิ เป็นต่างๆ เป็นหัวหน้าสัตว์ หัวหน้าฝูงพยายามปกป้องสัตว์ พยายามปกป้องฝูงของตน สละชีวิตของตนเพื่อฝูง สละชีวิตของตนเพื่อมนุษย์นะ มีอยู่ชาติหนึ่งท่านเสวยชาติเป็นกระต่าย คนหลงป่าๆ ไปกำลังอดอยากจะเป็นจะตาย แล้วเขาจุดไฟผิงอยู่ กระต่ายโดดเข้ากองไฟเลย
สัตว์มันคิดได้ขนาดนั้นนะ สัตว์มันคิดเสียสละชีวิตมันเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ ๒ คน นี่พระโพธิสัตว์ เพราะมีความคิด ความคิดมันตัดแต่ง ความคิดที่ตัดแต่งที่มันพัฒนา มันพัฒนาจนจิตนี้เข้มแข็ง จิตนี้คิดแต่เรื่องดีๆ จิตที่มีอำนาจวาสนา จนบารมีเต็ม นี่พันธุกรรมของจิตๆ
แล้วเราล่ะเคยคิดเรื่องดีๆ ไหม คิดแต่ว่ากูจะได้ แล้วเวลาจะมาปฏิบัติ กูจะได้อีกนะ กูจะเอาให้ได้ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า เพราะอะไร ฐานไง เขาสร้างตึกเขาต้องมีเข็ม มีฐาน เอ็งจะไปสร้างตึกบนทะเล โอ๋ย! เดี๋ยวนี้เขาซื้อเรือมาทำเป็นโรงแรม เขาทำได้ นี่คือเทคโนโลยีมันทำได้
แต่ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ พันธุกรรมของจิตๆ บุญถึงสำคัญตรงนี้ไง บุญสำคัญตรงนี้เพราะใครทำใครได้ไง ใครเป็นคนทำ คนนั้นมันฝังลงไปที่ใจดวงนั้นไง สิ่งที่ใจดวงนั้น ที่เป็นทิพย์สมบัติๆ มันเป็นทิพย์ที่นี่ไง แล้วถ้าเป็นทิพย์สมบัติ เรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันก็มีวิมาน มีวิมานเป็นทิพย์ๆ
ไอ้นั่นเป็นที่อยู่ ไอ้นั่นเป็นผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา วันพระๆ ไง วันพระผู้ประเสริฐ ประเสริฐก็หัวใจเราประเสริฐ ประเสริฐกับหัวใจของเรา มันมีปัญญา หัวใจของเราถ้ามันประเสริฐ นี่พระแท้
เวลาเขาบอกว่า พระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เวลาจะให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าไปที่ไหน
ให้ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่เกิด ที่ตรัสสู้ ที่ปลงอายุสังขาร ที่ปรินิพพาน ที่เกิด ที่แสดงธัมมจักฯ ที่ปรินิพพาน สิ่งต่างๆ ที่ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สังเวชนียสถานทั้ง ๔
แต่เวลากรรมฐานเรานะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากลางหัวใจนี้ เราจะไปเฝ้าพุทธะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือตัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้ๆ เป็นสิ่งที่มีชีวิต ใครเข้าไปพบของตน มันเป็นสมบัติของตน นี่หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราเข้มแข็งของเรานะ แล้วมันเป็นความจริง เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ที่บ้านก็ทำได้ ที่ถนนก็ทำได้ แม้แต่ในส้วมยังทำได้เลย หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันอยู่กับเรา หายใจมันอยู่ที่จมูกนี่ มันทำที่ไหนก็ได้ ไม่มีต้นทุน ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน มันอยู่กับเราทั้งสิ้น แล้วเวลาความสุขความทุกข์มันอยู่ที่กลางหัวใจนี้
แล้วเวลาแสวงหา แสวงหาต้องไปอินเดีย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นจริงๆ นะ เวลาใครไปแล้วเป็นความชื่นใจ นั่นก็เป็นบุญของเขา แต่ถ้าต้องไป ต้องไปที่นั่น แล้วพวกชาวอินเดียที่อยู่ที่นั่น ชาวอินเดียเขาเป็นฮินดูด้วย เขาไม่นับถือพระพุทธศาสนาด้วย คนที่เขาอยู่ที่นั่นเลยเขาไม่ได้บุญมากกว่าเราหรือ เขาเกิดที่นั่น เขาหาผลประโยชน์ที่นั่น
อันนี้พูดเพื่อให้ไม่ต้องขวนขวายให้มันทุกข์ยากนัก ให้ขวนขวายเข้ามาในใจของตน พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ พระพุทธศาสนาสอนเรียบง่ายมาก ธรรมดาเราเกษตรกรรมนะ เช้า เราหุงหาอาหารมาเพื่อดำรงชีพ ข้าวปากหม้อ เราก็ตักใส่บาตร ของง่ายๆ อาหารที่เราจะต้องดำรงชีพ อะไรเราก็แบ่งปันเพื่อสมณะๆ ก็แค่นั้น แล้วหน้าที่ของเราก็ทำหน้าที่การงานของเรา สมณะก็พยายามค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของตน แล้วถ้าเป็นไปได้นะ สอนเราด้วย สอนเราด้วยไง ถ้าได้บุญกุศล ได้บุญกุศลของเรานะ ทำบุญกุศลแล้วขอให้ข้าวนาเราอุดมสมบูรณ์ ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ของเรา ทำบุญเพื่อเหตุนี้ๆ
แต่จริงๆ แล้วหัวใจเราสำคัญที่สุด ทุกข์ยากมันทุกข์ยากที่ใจ ไอ้นั่นมันเครื่องอาศัย เครื่องอาศัยเท่านั้น แต่ความจริงๆ ใจของเราถ้ามันมีสติมีปัญญานะ ไม่มีอะไรมีความจำเป็นเลย ไม่มีอะไรกดถ่วงหัวใจได้เลย ไม่มีอะไรเหยียบย่ำในใจเราได้เลย ความทุกข์จะมารังแกหัวใจเราไม่ได้เลย อันนี้สุดยอด สัจธรรมอันนี้สุดยอด แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ
วันนี้วันพระ อยู่ที่กลางหัวอก ถ้าทำได้อยู่ที่หัวอกเรา อยู่ที่ในใจของเรา เอวัง